ตัววิ่ง

ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล็อก ผลงานนักเรียนของ นางสาวสรัลรัตน์ เจียมสกุล ได้เลยคะ

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Tense

โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า)




Phrasal verbs

Phrasal verbs

Phrasal verbs หรือ two-word verbs
     คือ การใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ส่วนประกอบ เมื่อ verb+ preposition or particle มารวมกันเป็น Phrasal verbs แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ
หลักสำคัญในการใช้ Phrasal Verbs หรือ Two-Word Verbs
1.เมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verbเช่น
   - please come in.
   - Don't give up, whatever happens.
2. เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้าadverb เช่น
   - I can't make it out. (right)
   - I can't make out it.(wrong)
3. เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็นdirect object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverbก็ได้        (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น
   - Turn on the light.  หรือ  - Turn the light on.
4. ตามข้อ ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clauseขยายต้องวางobject ไว้หลัง adverb เช่น
   - He gave away every book that he possesed. (right)
   - He gave every book that he possesed away. (wrong)

5. ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วางadverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้
   5.1 ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น
      -Off went john! = John went off.
   5.2 ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น
      -Away they went ! = They went away.
ประเภทของ Phrasal verbs
1. Inseparable Verbs with no objects  คือ phrasal verb ที่ต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ต้องมีกรรม เช่น
   set off ออกเดินทาง         Speed up เร่งความเร็ว
   Wake up ตื่นนอน            Stand up ยืนขึ้น
   Come in เข้ามาถึง           Get on ขึ้น (รถ) / เข้ากันได้
   Carry on ทำต่อไป           Find out เรียนรู้
   Grow up เติบโต             Turn up ปรากฏตัว

2. Inseparable Verbs with objects คือ phrasal verbที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่ต้องมีกรรม เช่น
   Look after เลี้ยงดู                              Look intoสอบถาม ตรวจสอบ
   Run into ชน                                     Come acrossพบโดยบังเอิญ
   Take after เหมือนถอดแบบ                  Deal withติดต่อ เกี่ยวข้อง
   Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน         Cope withจัดการ

3. Separable verbs คือ ที่แยกจากกันได้ มักจะต้องการกรรม
   Turn on เปิด(ไฟ)           Turn off ปิด (ไฟ)
   Turn down หรี่ (เสียง)     Swith off ปิด
   Look up มองหา             Take off ถอด ออกดินทาง

4. Three-Word Phrasal Verbs  คือ phrasal verb ที่ไม่มีกรรมและบางครั้งมีการใช้บุพบทมากกว่า ตัว เช่น
   Get on with ทำต่อไป ไม่หยุด                Cut down on ลดปริมาณลง
   Look out for เตรียมพร้อม                      Catch up with ตามทัน
   Run out of หมด                                  Get down toเอาจริงเอาจัง
   Stand up for ปกป้อง เดือดร้อนแทน         Look down to ดูถูก
   Look up to ยอมรับนับถือ                        Put up withอดทน
   Look out on มองออกไป

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

Direct & Indirect speech

                   Direct & Indirect speech

             Direct speech  คือ การนำคำพูดของผู้อื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้บุคคลที่เราสนทนาด้วยฟัง     โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มอะไรลงไปในคำกล่าวนั้น หรือเรียกว่า ถ้อยคำที่นำมาพูดโดยตรง
เช่น : Jimmy say, “She is my friend.’’ ( จิมมี่พูดว่า, “ หล่อนเป็นเพื่อนของฉัน.”)  คำว่า“She is my friend.’’เป็นคำพูดที่จิมมี่พูดออกมาโดยตรง ผู้ซึ่งได้ยินก็ยกเอาคำพูดนั้นไปเล่าให้ผู้อื่นฟังโดยการเล่านั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น กับสิ่งที่ได้ยินจากสิ่งที่จิมมี่พูดเรียกว่า Direct speech

            Indirect speech  คือ การนำคำพูดของผู้อื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้บุคคลที่เราสนทนาด้วยฟังโดยเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มอะไรลงไปในคำกล่าวนั้น  เช่น : Jimmy say that she was his friend.’’ ( จิมมี่พูดว่าหล่อนเป็นเพื่อนของเขา.)  คำว่า that she was his friend.’’เป็นคำพูดที่ผู้เล่านำมาจากคำพูดของจิมมี่ แต่นำมาดัดแปลงคำพูดของผู้ที่ที่นำไปเล่าเสียใหม่ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วจิมมี่อาจจะไม่ได้พูดเช่นนั้น แต่ผู้เล่านำมาดัดแปลงเป็นคำพูดของเขา เรียกว่า Indirect speech

รูปแบบของ Direct Speech

          1.วางไว้หน้าประโยค Jimmy say, “She is my friend.’’ ข้างหลังประโยคต้องใส่ commaเสมอ และข้อความในเครื่องหมายคำพูดตามการใช้แบบที่1นี้ จะต้องนำด้วยอักษรตัวใหญ่
          2.วางท้ายประโยค “She is my friend.’’ Jimmy say. มีเครื่องหมายcommaอยู่หน้าเสมอ และข้อความในเครื่องหมายคำพูดต้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ
          3.วางกลางประโยค “She,” Jimmy say , “is my friend.’’ข้างหน้า และข้างหลังjimmy say ต้องมีเครื่องหมายcomma คั่นเสมอ จบข้อความที่อยู่หลัง jimmy say ต้องใส่เครื่องหมาย full stop (.)

หลักการเปลี่ยนประโยค Direct speech เป็น Indirect speech
            การเปลี่ยนประโยคDirect speech เป็น Indirect speech มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตำแหน่งได้แก่

1.เปลี่ยนแปลงคำกริยาของประโยคนำ (Reporting Verb)
Direct
เปลี่ยนเป็น



Indirect
Say
Said
Say to + บุคคล
Said to + บุคคล
Say that
Said that
tell + บุคคล + that
told + บุคคล + that